ประเพณีตักบาตรดอกไม้
ประวัติ[แก้]
ประเภณีตักบาตรดอกไม้มีตำนานมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยมีเรื่องเล่าว่า นายสุมนมาลาการ เป็นชาวเมืองราชคฤห์ เขามีหน้าที่นำดอกมะลิไปถวายพระเจ้าพิมพิสารวัน
ละ 8 ทะนาน ทุกวัน และจะได้ทรัพย์วันละ 8 กหาปณะ ต่อมาเช้าวันหนึ่ง
ขณะที่เขากำลังถือดอกไม้จะเข้าประตูเมือง
เป็นเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
เขาเห็นพระพุทธเจ้าแล้วเกิดความเลื่อมใส
จึงถวายดอกไม้ด้วยดอกไม้ที่จะนำไปถวายพระราชาโดยมีความคิดว่า
แม้จะต้องตายด้วยโทษประหารก็ยอม
ชาวเมืองทราบดังนั้นจึงพาการโห่ร้องสรรเสริญเป็นอันมาก
มีเพียงภรรยาของเขาที่ไม่พอใจ ภรรยาจึงนำความนั้นไปกราบทูลพระเจ้าพิมพิสาร
แต่พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน นอก
จากจะไม่โกรธแล้ว ยังนำความนี้กราบทูลพระพุทธเจ้าอีกที
พระพุทธเจ้าได้กล่าวสรรเสริญนายสุมนมาลาการ
ทำให้นายสุมนมาลาการได้รับของพระราชทานจากพระเจ้าพิมพิสารถึง 8 ชนิด
คือช้าง ม้า ทาส ทาสี เครื่องประดับ นารี อย่างละแปด ทรัพย์อีก 8 พันกหาปณะ
และบ้านส่วยอีก 8 ตำบล ครั้นกลับถึงวัด พระอานนท์ได้
กราบทูลผลบุญที่นายสุมนมาลาการจะพึงได้รับ พระพุทธองค์ตรัสว่า
นายสุมนมาลาการได้สละชีวิตบูชาพระองค์ในครั้งนี้จักไม่ได้ไปเกิดในนรกตลอด
แสนกัลป์[2]
ประวัติของทางจังหวัดสระบุรี[แก้]
ได้มีการค้นพบรอยพระพุทธบาทที่วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ซึ่งอยู่ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม และมรการกำหนดเทศกาลนมัสการรอยพระพุทธบาทขึ้น 2 ครั้ง ในเดือน 3 และ เดือน 4 ของทุกปี และในช่วงฤดูฝนใกล้กับวันเข้าพรรษา จะ
มีดอกไม้ท้องถิ่นชนิดหนึ่ง ที่จัดอยู่ในกลุ่มพืชจำพวกกระชาย และขมิ้น
ซึ่งจะออกดอกในช่วงเวลาดังกล่าว
ซึ่งชาวบ้านที่พบเห็นดอกไม้ชนิดนี้จึงได้เก็บนำมาถวายพระสงฆ์
และชาวบ้านได้เรียกชื่อดอกไม้ชนิดนี้ว่า "ดอกเข้าพรรษา"
ซึ่งมาจากช่วงเวลาที่ดอกไม้ชนิดนี้บานในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาพอดี
ชาวบ้านได้พร้อมใจกันนำดอกเข้าพรรษามาถวายพระสงฆ์
เพื่อนำไปสักการะรอยพระพุทธบาท เป็นประจำทุกๆ ปี
อ้างอิง
ขี่ม้าก้านกล้วย
ขี่ม้าก้านกล้วย เป็นการละเล่นเด็กไทย โดย อาศัยก้านกล้วยที่ปลูกไว้ตามบริเวณข้างบ้านและในสวน ซึ่งผู้ใหญ่มักทำให้เด็กๆ เล่นเพื่อความสนุกเพลิดเพลิน และเป็นการฝึกการความแข็งแรงไปในตัว
ขี่ม้าก้านกล้วย
ขี่ม้าก้านกล้วย เป็นการละเล่นเด็กไทย โดย อาศัยก้านกล้วยที่ปลูกไว้ตามบริเวณข้างบ้านและในสวน ซึ่งผู้ใหญ่มักทำให้เด็กๆ เล่นเพื่อความสนุกเพลิดเพลิน และเป็นการฝึกการความแข็งแรงไปในตัว
การเรียกชื่อ[แก้]
ใน
ภาษาอังกฤษ ราชบัณฑิตยสถาน ได้กำหนดชื่อภาษาอังกฤษของการละเล่นนี้ ไว้ว่า
"Banana rib hobbyhorse riding"
จะไม่ใช้การทับศัพท์เนื่องจากไม่สามารถสื่อความหมายได้[1]
วิธีการทำ[แก้]
วัตถุ
ดิบนั้น ทั้งหาง่ายมากและไม่ต้องเสียเงินเลย เพราะสิ่งที่ต้องใช้ก็คือ
ต้นกล้วยนั่นเอง ตัดต้นกล้วยมาในลักษณะรูปร่างที่ผอมยาวเล็กน้อย
จากนั้นก็ทำรูปร่างให้เหมือนกับคอม้า
วิธีการเล่น[แก้]
วิธี
การเล่นคือ ขึ้นขี่บนก้านกล้วย แล้วออกวิ่ง จากนั้นส่งเสียงร้อง ฮี้ฮี้
แต่ถ้ามีผู้เล่น2คนขึ้นไป ก็สามารถจัดเป็นการแข่งขันขึ้นได้
โดยฝ่ายไหนวิ่งเร็วที่สุด ก็จะเป็นผู้ชนะ
ขี่ม้าก้านกล้วยกับปัจจุบัน[แก้]
ปัจจุบัน
นี้ การขี่ม้าก้านกล้วยเริ่มเลือนหายไปจากสังคมปัจจุบัน
เนื่องจากสภาพสังคมและยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อน
จึงทำให้การละเล่นเด็กไทยต่างๆ ลดลงไปมาก
แต่
การขี่ม้าก้านกล้วยก็ยังสามารถพบได้ตามงานวัฒนธรรมต่างๆ
ที่จัดขึ้นเป็นครั้งคราว และยังกลายเป็นสัญลักษณ์ (Logo) ในงานต่างๆ
ที่สื่อความเป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมไทย เช่น ตัวนำโชคของการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งที่ 20 หรือ สุโขไทเกมส์ เป็นเด็กชายผมจุกเล่นขี่ม้าก้านกล้วย
อ้างอิง
อ้างอิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น